tag:blogger.com,1999:blog-63443763679166459462023-11-15T09:12:36.413-08:00นครโช๊คอัพMr.AuDy SriRaChahttp://www.blogger.com/profile/06445984047996932168noreply@blogger.comBlogger4125tag:blogger.com,1999:blog-6344376367916645946.post-7455902693943689852013-07-02T02:59:00.001-07:002013-07-02T02:59:00.035-07:00เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย - อ๊อฟ ปองศักดิ์【OFFICIAL MV】<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="270" src="//www.youtube.com/embed/Lec8xLIw_uA" width="480"></iframe>Mr.AuDy SriRaChahttp://www.blogger.com/profile/06445984047996932168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6344376367916645946.post-16525179417134327562012-07-10T08:15:00.001-07:002012-07-10T08:25:35.113-07:00สิ่งที่ควรรู้ในการเปลี่ยนโช๊คอัพใหม่<div style="background-color: white; color: white;">
<b><span style="background-color: black; font-family: arial; font-size: small;"><span style="font-weight: bold;">1. </span>การติดตั้งโช๊คอัพมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ดังนั้นควรได้รับการติดตั้งจากช่างผู้ชำนาญ</span><span style="background-color: black; font-family: arial; font-size: small;"><span style="font-weight: bold;">2.</span> โช๊คอัพ เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในระบบรองรับน้ำหนัก แต่โช๊คอัพไม่ได้ทำหน้าที่รับน้ำหนักรถบันทุก
โช๊คอัพเป็นตัวหน่วงการเคลื่อนที่ขึ้นและลงของรถยนต์
เพื่อให้รถยนต์ได้รับแรงสะเทือนน้อยที่สุด
และคอยควบคุมรถยนต์ให้สัมผัสกับพื้นผิวของถนนขณะรถวิ่ง</span><span style="background-color: black; font-family: arial; font-size: small;"><span style="font-weight: bold;">3.</span> หลีกเลี่ยงสภาพถนนที่มีสภาพไม่ดี เป็นหลุมบ่อ</span><span style="background-color: black; font-family: arial; font-size: small;"><span style="background-color: black; font-weight: bold;">4.</span> การขับรถตกหลุมแรงๆ หรือขับด้วยความเร็วขึ้น-ลงลูกระนาด ทำให้อายุการใช้งานของโช๊คอัพสั้นลง</span><span style="background-color: black; font-family: arial; font-size: small;"><span style="font-weight: bold;">5.</span> หลังการติดตั้งโช๊คอัพใหม่ควรขับรถบนถนนเรียบประมาณ <span style="font-style: italic;">300-500 กิโลเมตร</span> เพื่อเป็นการวอร์มโช๊คอัพ</span><span style="background-color: black; font-family: arial; font-size: small;"><span style="font-weight: bold;">6.</span>
เมื่อเปลี่ยนโช๊คอัพใหม่
อาจจะทำให้การรับรู้ถึงความรู้สึกของการขับขี่่เปลี่ยนไป ให้ขับสักประมาณ
300-500 กิโลเมตรก่อน
ถ้ายังมีอาการที่ยังรู้สึกปกติอยู่ให้ปรึกษาช่างผู้ชำนาญ</span><span style="background-color: black; font-family: arial; font-size: small;"><span style="font-weight: bold;">7.</span> หลังการติดตั้งโช๊คอัพใหม่ต้องผ่านการตั้งศูนย์ล้อด้วยเสมอ</span><span style="background-color: black; font-family: arial; font-size: small;"><span style="font-weight: bold;">8.</span> การเปลี่ยนโช๊คอัพใหม่ จะคำนึงถึงความปลอดภัยและเกาะถนนที่ดีเยียม ดังนั้นความรู้สึกนุ่มนวลในการขับขี่อาจไม่ดีนัก ตรงกันข้ามหากต้องการความนุ่มนวลการยึดเกาะถนนอาจจะต้องลดลง</span><span style="background-color: black; font-family: arial; font-size: small;"><span style="font-weight: bold;">9.</span> การกดตัวถังรถไม่สามารถบอกได้ว่าโช๊คอัพอยู่ในสภาพดีหรือเสีย
เนื่องจากรถบางรุ่นถูกออกแบบมาเพื่อความนุ่มนวลในการขับขี่
ดังนั้นเมื่อทำการทดสอบโดยขย่มแล้วปล่อย จะรู้สึกว่ารถนั้นใช้เวลา 2-3
ครั้งก่อนจะหยุดแต่ไม่ได้หมายความว่ารถคันที่ทดสอบนั้น โช๊คชำรุด
หรือไม่ในทางตรงกันข้ามในการเคลื่อนที่ของโช๊คครั้งหรือสองครั้ง
ก็ไม่ได้หมายความว่าโช๊คนั้นจะดี เพราะรถยนต์แต่ละรุ่น
วิศวกรออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้งการของลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป เช่น
รถแข่ง รถสปอร์ต รถรีมูซีน หรือรถส่วนบุคคลและรถกระบะ</span><span style="background-color: black; font-family: arial; font-size: small;"><span style="font-weight: bold;">10.</span> ปัจจุบันมีโช๊คอัพให้เลือกใช้หลายประเภท ดังนั้นควรสอบถามคุณสมบัติต่างๆ ของโช๊คอัพแต่ละยี่ห้อแต่ละรุ่น ถึงรายละเอียดสมรรถนะที่เหมาะสมกับพฤติกรรม ในการขับขี่ของผู้ใช้
กรณีเลือกประเภทของโช๊คไม่ตรงกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้ใช้
อาจทำให้รู้สึกได้ว่า การขับขี่นั้นไม่เป็นไปตามความคาดหวัง เช่น
เลือกโช๊คที่ใช้กับรถสปอร์ตคุณสมบัติยึดเกาะถนนดีมีเสถียรภาพที่ความเร็ว
สูงๆ มาใส่ในรถรีมูซีน ซึ่งผู้ขับต้องการความนุ่มนวลในการขับขี่
สิ่งที่ได้รับจะต้องไปในทางตรงกันข้ามเป็นต้น</span></b></div>Mr.AuDy SriRaChahttp://www.blogger.com/profile/06445984047996932168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6344376367916645946.post-30922484070468611952012-07-10T07:59:00.001-07:002012-07-10T07:59:46.671-07:00ความรุ้เรื่องโช๊คอัพโช้คอัพ มาจากคำว่า Shock Absorber เป็นตัวช่วยหน่วงเวลาไม่ใ้้ห้สปริงมีการเคลื่อนตัวเร็วเกินไป ช่วงล่างของรถยนต์ไม่ได้ใช้<br />โช้คอัพรองรับน้ำหนักนะครับ เซียน(หรือไม่)แต่งรถกลุ่มนั้นเข้าใจกันว่าโช้คมีไว้รองรับน้ำหนักรถ ซึ่งเข้าใจผิดมหันต์เลยครับ<br />จริงๆแล้ว ตัวรับน้ำหนักและแรงกระเทกทั้งปวงคือสปริงครับ แต่ถ้ารถคุณมีแต่สปริง พอเจอถนนขรุขระ รถคุณก็จะเด้งขึ้นเด้งลง<br />ตามค่า K ของสปริงกันจนมึนไปเลย, Shock Ab จึงถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อหน่วงไม่ใช้สปริงมีการเคลื่อนตัวได้มากนัก เวลาเลือก<br />โช้ึคอัพมาใส่รถ คุณต้องได้อย่างเสียอย่างเสมอ ถ้ารถคุณอยากได้โช้คนิ่ม มันจะหน่วงสปริงได้น้อย นั่งแล้วนิ่มขึ้น แต่เวลาเข้าโค้ง<br />รถเอียงข้างเลยครับ แรงจากศูนย์กลางมาเพียบเลย แต่ถ้าคุณเลือโช้คหนึบ ความนิ่มจะหายไป สปริงจะเคลื่อนที่ได้น้อยมาก<br />แต่เวลาเข้าโค้ง หรือขับซิกแซก รถคุณนิ่งอย่างแรงครับ ไม่มีเอียง<br /><br />โช้คอัพเดิมทีคือการใช้น้ำมันในการหน่วงโดยน้ำมันนี้ จะมีอยู่ในกระบอกโช้คนะครับ แท่งแกนโช้คถูกสอดลงไปในกระบอกนี้<br />มีก้อนวาล์วอยู่ตรงปลาย กั้นทำให้เกิดห้องสองห้องขึ้นในกระบอกโช้ค มีห้องบน และห้องล่าง ทั้งสองห้องมีน้ำมันอยู่ครับ<br />เวลาจังหวะโช้คยืดตัวขึ้น น้ำมันจากห้องบนจะต้องถูกดันให้หนีลงมาห้องล่าง แต่วาล์วที่กั้นห้องนั้น มีรูและซอกเล็กมาก<br />ให้น้ำมันผ่านได้จำกัดมาก ทำให้น้ำมันผ่านได้ช้าลง ผลก็คือเกิดการหน่วงไม่ให้ก้านสูบเลื่อนขึ้นเร็วเกินไป<br />ในจังหวะโช้ึึคกดตัวลงก็เช่นกันครับ น้ำมันจากห้องล่างจะพยายามหนีขึ้นห้องบนเพราะโดนดัน (ลองวาดรูปตาม น่าจะเข้าใจง่ายขึ้น)<br />วาล์วก็เป็นตัวหน่วงอีกเช่นกัน<br />การไหลผ่านร่องวาล์วเล็กๆในกระบอกสูบ หนืดไม่หนืด ขึ้นอยู่กับขนาดวาล์วและการออกแบบช่องทางเดินน้ำมันในวาล์วครับ<br />ส่วนโช้คแก้ส คือการพัฒนาเอาโช้คเดิม มากั้นห้องไว้ข้างล่างสุดหนึ่งห้องเป็นห้องโล่งๆแล้วอัดแก้สลงไป มีจุดประสงค์หลักคือ<br />ทำให้มีแรงดันเพิ่มขึ้น ฟองอากาศที่จะเกิดในน้ำมันซึ่งเป็นปัญหาเดิมจะลดลง (เวลาโช้คทำงานปกติที่ถนนธรรมดา โช้คมีการขยับ<br />ขึ้นลงมากกว่า 10 ครั้งต่อวินาที มีความร้อนเกิดจากการขยับนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้น้ำมันเกิดฟองอากาศครับ) โช้ึคแก้สจึงมีความแข็ง<br />มากกว่าประเด็นสำคัญ สิ่งที่เรียกว่าโช้คน้ำมันกึ่งแก้สนั้น เป็นความเข้าใจผิดครับ<br />โช้คแก้ส ก็ยังใช้น้ำมันในการไหลผ่านวาล์วเหมือนเดิม แก้สไม่เกี่ยวเลย อยู่ห้องข้างล่างอย่างเดียว<br />ดังนั้น ขอให้เข้าใจกันใหม่ด้วยนะครับ ว่าโช้คนั้นมีแค่เป็นน้ำมันล้วน กับแบบเอาแก้สมาอัดช่วยดันห้องล่าง แค่นั้น โช้คแก้สเปล่าๆ<br />ไม่มีแน่นอนครับ (ถ้ามีแต่แก้สเปล่าๆ เค้าเรียกแก้สสปริง ซึ่งมีไว้แทนสปริงตรงฝาท้ายพวกรถแวกอนนะครับ คนละเรื่องกับการหน่วง<br />ในระบบช่วงล่าง แต่คนไทยเรียกเหมาหมดว่าโช้คอะ)<br />ข้อสังเกตุสำคัญว่า โช้ึคคุณเป็นน้ำมันหรือมีแก้สด้วย ให้ลองวางตั้งกะพื้นนะครับ เอามือกดก้านสูบลงไปจนสุด แล้วปล่อย<br />ถ้าเป็นโช้คน้ำมัน มันจะจมอยู่งั้นแหละ แต่ถ้าเป็นโช้คที่มีแก้สอยู่ด้วย มันจะค่อยๆยืดขึ้นมาเองช้าๆจนสุด ที่เป็นอย่างนี้<br />เพราะมีห้องแก้สอยู่ล่างสุดช่วยดันให้น้ำมันในห้องล่างดันลูกสูบขึ้นไปในตำแหน่งปกติ<br /><br />ึความหนืดของโช้ึึคอัพ จริงๆแล้วขึ้นอยู่กับการออกแบบวาล์วที่ลูกสูบเท่านั้น ดังนั้น อย่างเช่น Volvo 940 or 960 ติดรถมาจากสวีเดน<br />ก็เป็นโช้คน้ำมันครับ แล้วก็หนึบโคตรๆด้วย<br />ถ้าคุณเปลี่ยนโช้คไปเป็นแก้ส ก็มั่นใจได้อย่าง ว่ามันแข็งขึ้นแหงๆครับ ถ้าวาล์วถูกออกแบบมาเหมือนกัน<br /><br />ปัญหาของโช้คอัพ มีเรื่องสำคัญๆอยู่เรื่องเดียว คือน้ำมันรั่วออกมาทางด้านบน ทำให้โช้คอัพสูญเสียน้ำมันไปเรื่อยๆ ซึ่งก็จะทำให้มัน<br />สูญเ้สียความสามารถในการหน่วงไป ทำให้รถคุณวิ่งเหมือนเด้งอยู่บนสปริง ถ้าเป็นไม่มาก เช็คยางดูก็ได้ครับ ถ้าสึกเป็นบั้งๆในแนวขวาง<br />รถคุณมีปัญหากะโช้คอัพแ้ล้วล่ะ<br />สาเหตุสำคัญที่น้ำมันจะรั่วได้ ก็มาจากซีลยางที่อยู่ด้านบนของกระบอกโช้คนะครับ ซีลยางนี้ มีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาอยู่แล้ว<br />ตามระยะของผู้ผลิตโช้ค คุณควรเปลี่ยนโช้คอัพเมื่อรถวิ่งไปได้ 100000 กิโล หรือห้าปี โดยไม่ต้องรอให้รั่ว เพราะซีลมันเสื่อมแล้ว<br />ถ้ารถคุณไม่ค่อยได้ใช้เลย ซีลยางคุณจะยิ่งแย่กว่าปกติ เพราะทุกครั้งที่โช้คขึ้นลง ก้านแกนโช้คจะนำเอาน้ำมันออกมาเล็กน้อยด้วย<br />ช่วยหล่อลื่นซีลครับ ถ้าคุณไม่ใช้รถเลย จอดไว้เป็นอาทิตย์เฉยๆ ซีลจะแข็งเป๊ก และฉีกง่ายมากๆ โช้ครั่วก็จะตามมาแน่นอนครับ<br />อ้อ เวลาติดตั้งโช้ค อย่าลืมเตือนช่างไม่ให้ใช้คีมในการจับแกนโช้คตอนขันน้อตนะครับ เพราะมันจะทำให้แกนโช้คเป็นรอย<br />ซึ่งเมื่อคุณเอารถไปข้บ รอยนี้มันจะไปเสียดสีให้ซีลยางมันขาด ซึ่งก็จะนำมาซึ่งการรั่วอีกน่ะแหละ ดังนั้นเวลาเจอโช้ครั่วเร็ว<br />บางทีก็อย่าโทษแต่ผู้ผลิตโช้คล่ะครับ มันมีปัจจัยเพียบเลย<br />ตอนขันน้อตก็เหมือนกัน ถ้าคุณขันแน่นเกินไปก่อนเอาลงจากฮอยส์ ลงมาปุ๊ป โช็คงอปั๊ปเลยครับ เพราะตอนอยู่บนฮอยส์<br />ช่วงล่างคุณทั้งยวงมันห้อยครับ มันไม่ได้อยู่ในตำแหน่งปกติ<br />วิธีที่ถูกคือต้องขันแต่พออยู่ อย่าแน่น พอเอารถลงแล้ว ค่อยขันแน่นครับ เพราะเมื่อโช้คท่านงอ เวลาเอาไปวิ่ง<br />มันก็ไปขูดซีลยางอีกน่ะแหละ (แหม ไอ้ซีลยางนี่ช่างเจ้าปัญหาซะจริงเลยนะ)<br />อธิบายมาซะยาว ขอสรุปแล้วนะครับ<br /><br />เวลาคุณเปลี่ยนโช้ค<br />๑.คุณควรเปลี่ยนทั้งสองข้างพร้อมกัน<br />๒.คุณควรเปลี่ยนให้ได้รุ่นที่ผู้ผลิตโช้คทำมาเพื่อรถรุ่นนั้นๆ ไม่ควรดัดแปลง เพราะคุณไม่มีทางรู้ parameter อื่นๆเลย ร้านที่รับทำ<br />หรือแก้โช้คนั้น ทำให้โช้คคุณอายุสั้นแน่นอนครับ เพราะโรงงานที่เยอรมันลงทุนกันเป็นหมื่นๆล้าน R&D กันเกือบตายกว่า<br />จะ Design ออกมาให้เบนซ์ให้บีเอ็มแต่ละรุ่น คุณว่าร้านข้างทางของคุณเอาโช้คมาผ่า อัดน้ำมันเข้าไปใหม่ มันก็ใช้ได้แล้วเหรอครับ)<br />๓. หมั่นก้มดูโช้คบ่อยๆครับ ว่ามีคราบน้ำมันรั่วหรือไม่<br />๔. เวลาให้ช่างนอกเปลี่ยน ทำตามคำแนะนำทีผมให้ไว้้ด้านบนนะครับ จะได้ไม่เจอปัญหาโช้ครั่วเร็ว<br />๕. โช้คอัพ ที่เยอรมัน ถือเป็นชินส่วนสำคัญเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยเทียบเท่ากับระบบเบรคเลยทีเดียว คุณควรใส่ใจกับมันให้มาก<br />อย่าเห็นแกของถูก หรือเงินเพียงเล็กน้อยครับ<br /><br />คนไทยเรา ยังมีอุปนิสัยไม่สนใจโช้คอัพ ไม่รั่ว ไม่มีวันเปลี่ยน จริงๆแล้ว คุณควรเปลี่ยนมันเมื่อวิ่งไปได้ 100,000 กิโล หรือห้าปีครับ<br />เพราะซีลยางมันออกแบบมาให้มีอายุแค่นั้น<br /><br />ถามว่า โช้คไม่ดี ไม่เห็นเป็นไร ไม่เปลี่ยนไม่ได้เหรอ ขับมาสิบปีแล้ว ไม่เห็นเคยเปลี่ยนสักครั้ง<br />ตอบเลยนะครับ ว่าถ้าคุณวิ่งปกติดี มันก็แล้วไปครับ แต่ถ้าคุณไปเจอสถานการณ์คับขัน เบรคกะทันหัน เมื่อถึงเวลานั้น คุณจะเข้าใจว่า<br />โช้คนั้นสำคัญกับการทรงตัวของรถขนาดไหน คุณจะแลกเงินไม่กี่พันบาท กับความปลอดภัยของชีวิตหรือครับ<br /><br />เปลี่ยนทัศนคติกันใหม่นะครับ ที่เยอรมัน เค้าบอกว่า "Shock Absorber condition cannot be compromised." ครับ<br /><br />อ้อ มักมีคนถามผม เรื่องโช้คปรับได้ ปรับไม่ได้ ว่าเป็นอย่างไรนะครับ<br />ผมเคยยกมือถามที่เยอรมันแล้วครับ เค้าบอกว่า จริงๆแล้ว มันแทบจะไม่ได้ช่วยปรับอะไรได้มากสักเท่าไหร่ ถ้าคุณไม่ใช่<br />คนบ้ารถมากจริงๆ คุณจะไม่เห็นความแตกต่างมากนักครับ จุดสำคัญคือ ใ้ช้ให้ตรงรุ่น ตรงสเป็ก เป็นใช้ได้ครับMr.AuDy SriRaChahttp://www.blogger.com/profile/06445984047996932168noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6344376367916645946.post-55774625642379284792012-07-10T07:26:00.002-07:002012-07-10T08:18:12.471-07:00นครโช๊คอัพ<div style="background-color: white; color: red;">
<b>ร้านนครโช๊คอัพ</b></div>
<div style="background-color: white; color: #38761d;">
<b>บริการ......ซ่อมโช๊คอัพ รถยนต์ระบบไฮโดรลิคทุกชนิด ซ่อมแม่แรง ยกสูง โหลดเตี้ย และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับช่วงล่าง โดยผู้เชี่ยวชาญ</b></div>
<div style="background-color: white; color: red;">
<b><br /></b></div>
<div style="background-color: white; color: #741b47;">
<b>สถานที่ตั้งร้าน...อยุ่ข้างใน บ.ข.ส. นครศรีธรรมราช<span style="background-color: white;"></span></b></div>
<div style="background-color: white; color: red;">
<b><br /></b></div>
<div style="background-color: white; color: orange;">
<b>โทร. 075-341752 (ร้าน)</b></div>
<div style="background-color: white; color: orange;">
<b> 081-3707108 (คุณจรัญ)</b></div>
<br />Mr.AuDy SriRaChahttp://www.blogger.com/profile/06445984047996932168noreply@blogger.com0