วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สิ่งที่ควรรู้ในการเปลี่ยนโช๊คอัพใหม่

1. การติดตั้งโช๊คอัพมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ดังนั้นควรได้รับการติดตั้งจากช่างผู้ชำนาญ2. โช๊คอัพ เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในระบบรองรับน้ำหนัก แต่โช๊คอัพไม่ได้ทำหน้าที่รับน้ำหนักรถบันทุก โช๊คอัพเป็นตัวหน่วงการเคลื่อนที่ขึ้นและลงของรถยนต์ เพื่อให้รถยนต์ได้รับแรงสะเทือนน้อยที่สุด และคอยควบคุมรถยนต์ให้สัมผัสกับพื้นผิวของถนนขณะรถวิ่ง3. หลีกเลี่ยงสภาพถนนที่มีสภาพไม่ดี เป็นหลุมบ่อ4. การขับรถตกหลุมแรงๆ หรือขับด้วยความเร็วขึ้น-ลงลูกระนาด ทำให้อายุการใช้งานของโช๊คอัพสั้นลง5. หลังการติดตั้งโช๊คอัพใหม่ควรขับรถบนถนนเรียบประมาณ 300-500 กิโลเมตร เพื่อเป็นการวอร์มโช๊คอัพ6. เมื่อเปลี่ยนโช๊คอัพใหม่ อาจจะทำให้การรับรู้ถึงความรู้สึกของการขับขี่่เปลี่ยนไป ให้ขับสักประมาณ 300-500 กิโลเมตรก่อน ถ้ายังมีอาการที่ยังรู้สึกปกติอยู่ให้ปรึกษาช่างผู้ชำนาญ7. หลังการติดตั้งโช๊คอัพใหม่ต้องผ่านการตั้งศูนย์ล้อด้วยเสมอ8. การเปลี่ยนโช๊คอัพใหม่ จะคำนึงถึงความปลอดภัยและเกาะถนนที่ดีเยียม ดังนั้นความรู้สึกนุ่มนวลในการขับขี่อาจไม่ดีนัก ตรงกันข้ามหากต้องการความนุ่มนวลการยึดเกาะถนนอาจจะต้องลดลง9. การกดตัวถังรถไม่สามารถบอกได้ว่าโช๊คอัพอยู่ในสภาพดีหรือเสีย เนื่องจากรถบางรุ่นถูกออกแบบมาเพื่อความนุ่มนวลในการขับขี่ ดังนั้นเมื่อทำการทดสอบโดยขย่มแล้วปล่อย จะรู้สึกว่ารถนั้นใช้เวลา 2-3 ครั้งก่อนจะหยุดแต่ไม่ได้หมายความว่ารถคันที่ทดสอบนั้น โช๊คชำรุด หรือไม่ในทางตรงกันข้ามในการเคลื่อนที่ของโช๊คครั้งหรือสองครั้ง ก็ไม่ได้หมายความว่าโช๊คนั้นจะดี เพราะรถยนต์แต่ละรุ่น วิศวกรออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้งการของลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป เช่น รถแข่ง รถสปอร์ต รถรีมูซีน หรือรถส่วนบุคคลและรถกระบะ10. ปัจจุบันมีโช๊คอัพให้เลือกใช้หลายประเภท ดังนั้นควรสอบถามคุณสมบัติต่างๆ ของโช๊คอัพแต่ละยี่ห้อแต่ละรุ่น ถึงรายละเอียดสมรรถนะที่เหมาะสมกับพฤติกรรม ในการขับขี่ของผู้ใช้ กรณีเลือกประเภทของโช๊คไม่ตรงกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้ใช้ อาจทำให้รู้สึกได้ว่า การขับขี่นั้นไม่เป็นไปตามความคาดหวัง เช่น เลือกโช๊คที่ใช้กับรถสปอร์ตคุณสมบัติยึดเกาะถนนดีมีเสถียรภาพที่ความเร็ว สูงๆ มาใส่ในรถรีมูซีน ซึ่งผู้ขับต้องการความนุ่มนวลในการขับขี่ สิ่งที่ได้รับจะต้องไปในทางตรงกันข้ามเป็นต้น

ความรุ้เรื่องโช๊คอัพ

โช้คอัพ มาจากคำว่า Shock Absorber เป็นตัวช่วยหน่วงเวลาไม่ใ้้ห้สปริงมีการเคลื่อนตัวเร็วเกินไป ช่วงล่างของรถยนต์ไม่ได้ใช้
โช้คอัพรองรับน้ำหนักนะครับ เซียน(หรือไม่)แต่งรถกลุ่มนั้นเข้าใจกันว่าโช้คมีไว้รองรับน้ำหนักรถ ซึ่งเข้าใจผิดมหันต์เลยครับ
จริงๆแล้ว ตัวรับน้ำหนักและแรงกระเทกทั้งปวงคือสปริงครับ แต่ถ้ารถคุณมีแต่สปริง พอเจอถนนขรุขระ รถคุณก็จะเด้งขึ้นเด้งลง
ตามค่า K ของสปริงกันจนมึนไปเลย, Shock Ab จึงถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อหน่วงไม่ใช้สปริงมีการเคลื่อนตัวได้มากนัก เวลาเลือก
โช้ึคอัพมาใส่รถ คุณต้องได้อย่างเสียอย่างเสมอ ถ้ารถคุณอยากได้โช้คนิ่ม มันจะหน่วงสปริงได้น้อย นั่งแล้วนิ่มขึ้น แต่เวลาเข้าโค้ง
รถเอียงข้างเลยครับ แรงจากศูนย์กลางมาเพียบเลย แต่ถ้าคุณเลือโช้คหนึบ ความนิ่มจะหายไป สปริงจะเคลื่อนที่ได้น้อยมาก
แต่เวลาเข้าโค้ง หรือขับซิกแซก รถคุณนิ่งอย่างแรงครับ ไม่มีเอียง

โช้คอัพเดิมทีคือการใช้น้ำมันในการหน่วงโดยน้ำมันนี้ จะมีอยู่ในกระบอกโช้คนะครับ แท่งแกนโช้คถูกสอดลงไปในกระบอกนี้
มีก้อนวาล์วอยู่ตรงปลาย กั้นทำให้เกิดห้องสองห้องขึ้นในกระบอกโช้ค มีห้องบน และห้องล่าง ทั้งสองห้องมีน้ำมันอยู่ครับ
เวลาจังหวะโช้คยืดตัวขึ้น น้ำมันจากห้องบนจะต้องถูกดันให้หนีลงมาห้องล่าง แต่วาล์วที่กั้นห้องนั้น มีรูและซอกเล็กมาก
ให้น้ำมันผ่านได้จำกัดมาก ทำให้น้ำมันผ่านได้ช้าลง ผลก็คือเกิดการหน่วงไม่ให้ก้านสูบเลื่อนขึ้นเร็วเกินไป
ในจังหวะโช้ึึคกดตัวลงก็เช่นกันครับ น้ำมันจากห้องล่างจะพยายามหนีขึ้นห้องบนเพราะโดนดัน (ลองวาดรูปตาม น่าจะเข้าใจง่ายขึ้น)
วาล์วก็เป็นตัวหน่วงอีกเช่นกัน
การไหลผ่านร่องวาล์วเล็กๆในกระบอกสูบ หนืดไม่หนืด ขึ้นอยู่กับขนาดวาล์วและการออกแบบช่องทางเดินน้ำมันในวาล์วครับ
ส่วนโช้คแก้ส คือการพัฒนาเอาโช้คเดิม มากั้นห้องไว้ข้างล่างสุดหนึ่งห้องเป็นห้องโล่งๆแล้วอัดแก้สลงไป มีจุดประสงค์หลักคือ
ทำให้มีแรงดันเพิ่มขึ้น ฟองอากาศที่จะเกิดในน้ำมันซึ่งเป็นปัญหาเดิมจะลดลง (เวลาโช้คทำงานปกติที่ถนนธรรมดา โช้คมีการขยับ
ขึ้นลงมากกว่า 10 ครั้งต่อวินาที มีความร้อนเกิดจากการขยับนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้น้ำมันเกิดฟองอากาศครับ) โช้ึคแก้สจึงมีความแข็ง
มากกว่าประเด็นสำคัญ สิ่งที่เรียกว่าโช้คน้ำมันกึ่งแก้สนั้น เป็นความเข้าใจผิดครับ
โช้คแก้ส ก็ยังใช้น้ำมันในการไหลผ่านวาล์วเหมือนเดิม แก้สไม่เกี่ยวเลย อยู่ห้องข้างล่างอย่างเดียว
ดังนั้น ขอให้เข้าใจกันใหม่ด้วยนะครับ ว่าโช้คนั้นมีแค่เป็นน้ำมันล้วน กับแบบเอาแก้สมาอัดช่วยดันห้องล่าง แค่นั้น โช้คแก้สเปล่าๆ
ไม่มีแน่นอนครับ (ถ้ามีแต่แก้สเปล่าๆ เค้าเรียกแก้สสปริง ซึ่งมีไว้แทนสปริงตรงฝาท้ายพวกรถแวกอนนะครับ คนละเรื่องกับการหน่วง
ในระบบช่วงล่าง แต่คนไทยเรียกเหมาหมดว่าโช้คอะ)
ข้อสังเกตุสำคัญว่า โช้ึคคุณเป็นน้ำมันหรือมีแก้สด้วย ให้ลองวางตั้งกะพื้นนะครับ เอามือกดก้านสูบลงไปจนสุด แล้วปล่อย
ถ้าเป็นโช้คน้ำมัน มันจะจมอยู่งั้นแหละ แต่ถ้าเป็นโช้คที่มีแก้สอยู่ด้วย มันจะค่อยๆยืดขึ้นมาเองช้าๆจนสุด ที่เป็นอย่างนี้
เพราะมีห้องแก้สอยู่ล่างสุดช่วยดันให้น้ำมันในห้องล่างดันลูกสูบขึ้นไปในตำแหน่งปกติ

ึความหนืดของโช้ึึคอัพ จริงๆแล้วขึ้นอยู่กับการออกแบบวาล์วที่ลูกสูบเท่านั้น ดังนั้น อย่างเช่น Volvo 940 or 960 ติดรถมาจากสวีเดน
ก็เป็นโช้คน้ำมันครับ แล้วก็หนึบโคตรๆด้วย
ถ้าคุณเปลี่ยนโช้คไปเป็นแก้ส ก็มั่นใจได้อย่าง ว่ามันแข็งขึ้นแหงๆครับ ถ้าวาล์วถูกออกแบบมาเหมือนกัน

ปัญหาของโช้คอัพ มีเรื่องสำคัญๆอยู่เรื่องเดียว คือน้ำมันรั่วออกมาทางด้านบน ทำให้โช้คอัพสูญเสียน้ำมันไปเรื่อยๆ ซึ่งก็จะทำให้มัน
สูญเ้สียความสามารถในการหน่วงไป ทำให้รถคุณวิ่งเหมือนเด้งอยู่บนสปริง ถ้าเป็นไม่มาก เช็คยางดูก็ได้ครับ ถ้าสึกเป็นบั้งๆในแนวขวาง
รถคุณมีปัญหากะโช้คอัพแ้ล้วล่ะ
สาเหตุสำคัญที่น้ำมันจะรั่วได้ ก็มาจากซีลยางที่อยู่ด้านบนของกระบอกโช้คนะครับ ซีลยางนี้ มีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาอยู่แล้ว
ตามระยะของผู้ผลิตโช้ค คุณควรเปลี่ยนโช้คอัพเมื่อรถวิ่งไปได้ 100000 กิโล หรือห้าปี โดยไม่ต้องรอให้รั่ว เพราะซีลมันเสื่อมแล้ว
ถ้ารถคุณไม่ค่อยได้ใช้เลย ซีลยางคุณจะยิ่งแย่กว่าปกติ เพราะทุกครั้งที่โช้คขึ้นลง ก้านแกนโช้คจะนำเอาน้ำมันออกมาเล็กน้อยด้วย
ช่วยหล่อลื่นซีลครับ ถ้าคุณไม่ใช้รถเลย จอดไว้เป็นอาทิตย์เฉยๆ ซีลจะแข็งเป๊ก และฉีกง่ายมากๆ โช้ครั่วก็จะตามมาแน่นอนครับ
อ้อ เวลาติดตั้งโช้ค อย่าลืมเตือนช่างไม่ให้ใช้คีมในการจับแกนโช้คตอนขันน้อตนะครับ เพราะมันจะทำให้แกนโช้คเป็นรอย
ซึ่งเมื่อคุณเอารถไปข้บ รอยนี้มันจะไปเสียดสีให้ซีลยางมันขาด ซึ่งก็จะนำมาซึ่งการรั่วอีกน่ะแหละ ดังนั้นเวลาเจอโช้ครั่วเร็ว
บางทีก็อย่าโทษแต่ผู้ผลิตโช้คล่ะครับ มันมีปัจจัยเพียบเลย
ตอนขันน้อตก็เหมือนกัน ถ้าคุณขันแน่นเกินไปก่อนเอาลงจากฮอยส์ ลงมาปุ๊ป โช็คงอปั๊ปเลยครับ เพราะตอนอยู่บนฮอยส์
ช่วงล่างคุณทั้งยวงมันห้อยครับ มันไม่ได้อยู่ในตำแหน่งปกติ
วิธีที่ถูกคือต้องขันแต่พออยู่ อย่าแน่น พอเอารถลงแล้ว ค่อยขันแน่นครับ เพราะเมื่อโช้คท่านงอ เวลาเอาไปวิ่ง
มันก็ไปขูดซีลยางอีกน่ะแหละ (แหม ไอ้ซีลยางนี่ช่างเจ้าปัญหาซะจริงเลยนะ)
อธิบายมาซะยาว ขอสรุปแล้วนะครับ

เวลาคุณเปลี่ยนโช้ค
๑.คุณควรเปลี่ยนทั้งสองข้างพร้อมกัน
๒.คุณควรเปลี่ยนให้ได้รุ่นที่ผู้ผลิตโช้คทำมาเพื่อรถรุ่นนั้นๆ ไม่ควรดัดแปลง เพราะคุณไม่มีทางรู้ parameter อื่นๆเลย ร้านที่รับทำ
หรือแก้โช้คนั้น ทำให้โช้คคุณอายุสั้นแน่นอนครับ เพราะโรงงานที่เยอรมันลงทุนกันเป็นหมื่นๆล้าน R&D กันเกือบตายกว่า
จะ Design ออกมาให้เบนซ์ให้บีเอ็มแต่ละรุ่น คุณว่าร้านข้างทางของคุณเอาโช้คมาผ่า อัดน้ำมันเข้าไปใหม่ มันก็ใช้ได้แล้วเหรอครับ)
๓. หมั่นก้มดูโช้คบ่อยๆครับ ว่ามีคราบน้ำมันรั่วหรือไม่
๔. เวลาให้ช่างนอกเปลี่ยน ทำตามคำแนะนำทีผมให้ไว้้ด้านบนนะครับ จะได้ไม่เจอปัญหาโช้ครั่วเร็ว
๕. โช้คอัพ ที่เยอรมัน ถือเป็นชินส่วนสำคัญเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยเทียบเท่ากับระบบเบรคเลยทีเดียว คุณควรใส่ใจกับมันให้มาก
อย่าเห็นแกของถูก หรือเงินเพียงเล็กน้อยครับ

คนไทยเรา ยังมีอุปนิสัยไม่สนใจโช้คอัพ ไม่รั่ว ไม่มีวันเปลี่ยน จริงๆแล้ว คุณควรเปลี่ยนมันเมื่อวิ่งไปได้ 100,000 กิโล หรือห้าปีครับ
เพราะซีลยางมันออกแบบมาให้มีอายุแค่นั้น

ถามว่า โช้คไม่ดี ไม่เห็นเป็นไร ไม่เปลี่ยนไม่ได้เหรอ ขับมาสิบปีแล้ว ไม่เห็นเคยเปลี่ยนสักครั้ง
ตอบเลยนะครับ ว่าถ้าคุณวิ่งปกติดี มันก็แล้วไปครับ แต่ถ้าคุณไปเจอสถานการณ์คับขัน เบรคกะทันหัน เมื่อถึงเวลานั้น คุณจะเข้าใจว่า
โช้คนั้นสำคัญกับการทรงตัวของรถขนาดไหน คุณจะแลกเงินไม่กี่พันบาท กับความปลอดภัยของชีวิตหรือครับ

เปลี่ยนทัศนคติกันใหม่นะครับ ที่เยอรมัน เค้าบอกว่า "Shock Absorber condition cannot be compromised." ครับ

อ้อ มักมีคนถามผม เรื่องโช้คปรับได้ ปรับไม่ได้ ว่าเป็นอย่างไรนะครับ
ผมเคยยกมือถามที่เยอรมันแล้วครับ เค้าบอกว่า จริงๆแล้ว มันแทบจะไม่ได้ช่วยปรับอะไรได้มากสักเท่าไหร่ ถ้าคุณไม่ใช่
คนบ้ารถมากจริงๆ คุณจะไม่เห็นความแตกต่างมากนักครับ จุดสำคัญคือ ใ้ช้ให้ตรงรุ่น ตรงสเป็ก เป็นใช้ได้ครับ

นครโช๊คอัพ

ร้านนครโช๊คอัพ
บริการ......ซ่อมโช๊คอัพ  รถยนต์ระบบไฮโดรลิคทุกชนิด  ซ่อมแม่แรง  ยกสูง  โหลดเตี้ย  และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับช่วงล่าง  โดยผู้เชี่ยวชาญ

สถานที่ตั้งร้าน...อยุ่ข้างใน  บ.ข.ส. นครศรีธรรมราช

โทร.  075-341752  (ร้าน)
        081-3707108  (คุณจรัญ)